โรคเชื้อราในสมอง น่าขนพอง โปรดปรานการเล่นน้ำทะเลก็ต้องระแวดระวัง

เชื้อราในสมอง

เชื้อราในสมอง ภัยอันตรายที่มองไม่เห็นจากอุบัติเหตุเพียงแค่เล็กน้อย เช่น การสำลักน้ำ การจมน้ำ แต่จะสามารถให้ผลรุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตเราได้อย่างไรนั้นต้องมาลองดูกัน

ใครที่ชอบไปหย่อนใจตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ทะเล น้ำตก อาจต้องเพิ่มความระแวดระวังในการดูแลร่างกายตัวเองให้มากขึ้น เพราะความเจ็บป่วยเดี๋ยวนี้กลายพันธุ์ได้ง่ายกว่าเดิม ดังที่เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ว่าจมน้ำแล้วสมองบวม พอไปตรวจอีกทีพบว่าเป็นเชื้อราในสมองเสียแล้ว หรือหากใครจำกันได้กับกรณีของนักร้องดัง บิ๊ก ดีทูบี ที่ประสบอุบัติเหตุรถตกคูน้ำที่มีเชื้อราปนเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนอาการจะทรุดหนักเพราะเชื้อราเข้าไปในสมอง กระทั่งตายในที่สุด ดังนั้นเพื่อเป็นการระวังไม่ให้เกิดกรณีอันน่าสลดแบบนี้อีก เราก็ควรมาทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อรากันก่อนจะได้รู้แนวป้องกันที่ถูกต้องเอาไว้บอกต่อกับคนที่เราห่วงใย

เชื้อรามรณะที่เป็นต้นเหตุในที่นี้ก็คือ เชื้อรา P.boydii มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Scedosporium เป็นเชื้อราที่พบได้ตามบริเวณที่มีสิ่งโสโครกทับถมกันเป็นจำนวนมาก เช่น แหล่งน้ำเน่าเสีย แหล่งน้ำขนาดใหญ่ กองขยะสด บ่อพักสิ่งปฏิกูล รวมถึงในพื้นดินที่มีความชื้นตลอดเวลาไม่ถูกแสงแดด แม้แต่ในน้ำตก หรือทะเลที่มีของเสียหรือขยะปนเปื้อนมาก ๆ เพราะเชื้อราชนิดนี้สามารถเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 30-37 องศา

ถ้าแม้จะเป็นเชื้อราที่ไม่น่าจะเข้าสู่ร่างกายเราได้ และไม่สามารถก่อให้เกิดโรคโดยตรงได้ก็ตาม แต่ถ้าเมื่อไรที่ร่างกายสัมผัสกับแหล่งการขยายตัวของเชื้อราชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเดินหายใจ หรือทางผิวหนังที่เป็นแผล ก็มีโอกาสสูงมากที่เชื้อราจะเข้าไปสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ตามอวัยวะในร่างกายเรา เช่น ปอด หัวใจ ตับ สมอง

เมื่อไหร่ที่ภูมิต้านทานร่างกายต่ำลง เชื้อราจะกระจายตัวได้ดีกว่าตอนที่เราแข็งแกร่งดี ดังนั้นจึงไม่แปลกหากพบว่าในกรณีของคนจมน้ำ สำลักน้ำ หรือ แค่น้ำสกปรกโดนผิวหนังเรา จะทำให้เรามีอาการไม่สบายในเวลาต่อมาได้ เพราะทันทีที่เชื้อราชนิดนี้เข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายแล้วจะทำการแบ่งตัว และเจริญเติบโตแทรกซึมไปตามอวัยวะต่าง ๆ ที่มีสารอาหารโปรตีน และไขมันสูง ซึ่งตำแหน่งแรกที่มันจะเดินทางเข้าหาก็คือ เนื้อสมองของเรานั่นเอง เพราะส่วนประกอบหลักของสมองคือ ไขมัน และเชื้อนี้จะตรงเข้าทำลายระบบประสาทส่วนกลาง หรือประสาทส่วนการรับรู้ภายใน 48 ถึง 72 ชั่วโมง ด้วยขั้นตอนเจริญพันธุ์นี่เองที่ทำให้ส่วนต่าง ๆ ในเรือนร่างเราหยุดการทำงานลงฉับพลัน

ครั้นเมื่อติดเชื้อราในสมองแล้ว จะมีปรากฏให้เห็นชัด 3 ท่าที คือ
1. กิริยาอาการทางปอด อาจเกิดมีอาการเข้าแทรกคือ โรคไซนัส หากเอกซเรย์ดูจะพบว่ามีจุดกลมคล้ายมีลูกบอลในปอดอันเป็นต้นเหตุทำให้ปอดเน่า ผู้ป่วยจะมีอาการไอเป็นเลือด เจ็บในอกเสีอด มีไข้ พบรอยฝ้าและเกิดโพรงในปอด โดยเชื้อนี้พบในปอดถึง 10% ของคนป่วยที่เป็นโรคน้ำย่อยปอดผิดปกติ และ อาจเกิดโรคร่วมกับเชื้อราอีกตัวหนึ่งควบคู่กันก็ได้
2. อาการเฉพาะที่ เช่น บริวณอวัยวะกระดูกและข้อ ผิวหนัง และ เนื้อเยื่อบริเวณตาที่ก่อให้เกิดอาการตาอักเสบจนปวด แดง หรือ คล้ายมีฝุ่นในตา เป็นต้น
3. อาการในกระแสเลือด ทันทีที่เชื้อรากระจายเข้าสู่กระแสเลือด กิริยาอาการที่เห็นได้ชัดอย่างแรกคือ ช็อก เกิดภาวะพังพินาศในอวัยวะหลายส่วน มักเกิดกับคนไข้ที่มีร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำมาก่อนหน้าแล้ว

แม้ว่าโรคเชื้อราในสมองจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด 100 % แต่ก็สามารถพยุงอาการเอาไว้ไม่ให้เชื้อราเติบใหญ่ได้ด้วยการใช้ยาแก้โรคร่วมกันของ voriconazole หรือ itraconazole ร่วมกับยา terbinafine และยา Posaconazole นอกจากนี้ยังต้องมีการเยียวยาด้วยวิธีอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การระบายฝีในสมอง ระวังสมองบวม ระวังการติดต่อลามไปไซนัสและกระดูก รวมถึงการทำกายภาพบำบัดด้วย และอีกหนึ่งวิธีที่ผู้รักษาโดยมากเห็นว่าสามารถให้ผลดีได้ก็คือการให้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน แต่กลับเป็นวิธีที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอย่างอื่นตามมา เช่น แขนขาอ่อนแรง หรือ อัมพาตครึ่งซีกได้

หลักการการระวัง
1. เลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับสิ่งโสโครกเมื่อเวลามีรอยแผล
2. ล้างมือก่อนหยิบของกินเข้าสู่ร่างกายทุกคราว
3. หากต้องไปในบริเวณที่มีอากาศไม่หมุนเวียน ควรพกผ้าปิดจมูกไปด้วย เพื่อระแวดระวังสูดเชื้อโรคเข้าไป
4. หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายควรไปพบผู้รักษา
5.หลีกหนีการลงไปเล่นน้ำในบริเวณที่ไม่สะอาด เช่น บึงที่มี่จอกแหนขึ้นรกมาก น้ำคลอง น้ำตก ทะเลที่อยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

แม้ว่าเจ้าเชื้อรามรณะนี้จะมีชื่อฟังดูน่าเกรงขาม แต่ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป เพราะพอได้ลองรู้จักแล้วจะพบว่าเราก็สามารถปกป้องรักษาตัวเองให้ห่างไกลจากเชื้อรานี้ได้ไม่ยากนัก ถ้าเพิ่มความระแวดระวังให้เยอะขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น